พาลาทีน ดีกว่าน้ำตาลเทียมอย่างไร ?

…พาลาทีน ดีกว่าน้ำตาลเทียมอย่างไร ?…

 

        ในยุคที่อาหารสุขภาพและการมีหุ่นที่ดีกลายเป็นกระแสที่มาแรงที่สุดในตอนนี้ ทำให้น้ำตาลเทียมที่ขึ้นชื่อว่าไม่มีพลังงานแต่มีความหวานอยู่นั้นกลายเป็นวัตถุดิบที่นิยมขึ้นมาทันที โดยไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมใดหรือร้านอาหารใดที่บอกว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพจะต้องใช้น้ำตาลเทียมเหล่านี้ทั้งสิ้น แต่ทำไมถึงเรียกน้ำตาลเทียม แล้วเทียมแล้วดีมั้ย แล้วถ้าใช้พาลาทีนจะมีผลดีมากกว่าหรือไม่ อย่างไร เราจะมาหาคำตอบเหล่านี้กัน

ทำไมถึงเรียกว่าน้ำตาลเทียม ?

                ที่มานั้นเกิดจากว่าสารเหล่านี้มีรสชาติหวานเหมือนน้ำตาลสามารถเอามาใช้ทดแทนน้ำตาลได้ แต่ต่างตรงที่สารเหล่านี้ไม่ให้พลังงาน จึงกลายมาเป็นคำพูดที่ว่าสารนี้คือ น้ำตาลเทียม นั่นเองซึ่งจริงๆแล้วน้ำตาลเทียมเหล่านี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลนั่นเอง

น้ำตาลที่ว่าเทียมดีจริงมั้ย ?

                สำหรับคำถามนี้ต้องบอกว่าน้ำตาลเทียมในชีวิตประจำวันเรานั้นมีหลากหลายชนิดมากซึ่งก็จะมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไปนั่นเอง ซึ่งสาเหตุหลักๆของผลเสียนั้นเกิดจากข้อดีของน้ำตาลเทียมนั่นเองในส่วนของการไม่ให้พลังงานเนื่องจากน้ำตาลเทียมจะไม่ถูกย่อยในทางเดินอาหาร จึงเกิดเป็นผลเสียขึ้นมาในส่วนของการตกค้างในร่างกายและสะสมได้นั่นเอง โดยวันนี้จะยกตัวอย่างน้ำตาลเทียมที่เป็นที่นิยมกันเป็นอย่างมากทั้ง 3 ชนิด ดังนี้

                1.แอสปาเตม (Aspartame) น้ำตาลเทียมชนิดแรกสุดที่เริ่มมีการใช้และได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงเวลาหนึ่งเนื่องจากตอนที่น้ำตาลเทียมชนิดนี้เข้ามาได้ถูกใช้เป็นน้ำตาลเทียมสำหรับผู้ป่วยเบาหวานไว้ทานคู่กับกาแฟแทนน้ำตาลทั่วไปนั่นเอง แต่น้ำตาลเทียมชนิดนี้เป็นสารเคมีที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นโดยมนุษย์และไม่ให้พลังงาน ในส่วนของความหวานนั้นมีมากกว่าน้ำตาลทั่วไปถึง 200 เท่า แต่ไม่สามารถนำไปผ่านกระบวนการที่มีความร้อนได้ เช่น การต้ม การทอด การผัด เป็นต้น เนื่องจากน้ำตาลเทียมชนิดนี้จะมีรสชาติขมหากถูกความร้อนนั้นเอง จึงทำให้ความนิยมลดลงเรื่อยๆในเวลาต่อมา อีกทั้งมีข้อจำกัดในการใช้สำหรับผู้ที่มีสภาวะฟีนิลคีโตยูเรียไม่สามารถทานสารให้ความหวานชนิดนี้ได้ นอกจากนี้ในส่วนของการทำให้เกิดโรคมะเร็งหรือก้อนเนื้อนั้นยังคงไม่เป็นที่แน่ชัดเนื่องจากมีทั้งการศึกษาที่บอกว่ามีผลให้เกิดมะเร็งและที่บอกว่าปลอดภัยอยู่จึงกล่าวได้เพียงแค่ว่า มีความเสี่ยงแต่ยังยืนยันไม่ได้ว่าทานแล้วต้องเป็นมะเร็ง

                 2.ซูคราโลส (Sucralose) น้ำตาลเทียมชนิดที่ 2 ซูคราโลสเป็นน้ำตาลเทียมรุ่นต่อมาที่มีข้อดีกว่าแอสปาเตมในส่วนของการทนความร้อนมากขึ้นนั่นเอง สำหรับซูคราโลสนั้นยังคงเป็นสารเคมีอยู่และไม่ให้พลังงานแก่ร่างกายเนื่องจากร่างกายย่อยไม่ได้ ความหวานมีมากกว่าน้ำตาลประมาณ 320-1,000 เท่าแล้วแต่ความบริสุทธิ์ของซูคราโลส สำหรับข้อดีของน้ำตาลเทียมชนิดนี้ดังที่กล่าวมาข้างต้นคือ เรื่องของความหวานที่แม้จะนำไปถูกความร้อนก็จะไม่ทำให้เกิดรสขมเฝื่อนเกิดขึ้น แต่ข้อเสียของสารให้ความหวานชนิดนี้คือรสชาติที่หวานติดลิ้นเมื่อทานในปริมาณมากทำให้เวลาทานเข้าไปจะรู้สึกหวานไม่ธรรมชาติ ในกลุ่มคนรักสุขภาพหรือเบาหวานบางกลุ่มจึงไม่ชื่นชอบการใช้สารให้ความหวานกลุ่มนี้ ในส่วนของความปลอดภัยน้ำตาลเทียมชนิดนี้มีความปลอดภัยมากกว่าแอสปาเตมเนื่องจากไม่จำกัดกลุ่มของผู้บริโภค กล่าวคือสามารถบริโภคได้ในทุกคน โดยหากนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การปรุงประกอบอาหารหรือการผสมในอาหารหรือเครื่องดื่มต่างๆ จะมีความปลอดภัยต่อสุขภาพกล่าวคือยังไม่พบการศึกษาที่บ่งบอกการก่อมะเร็งขึ้น แต่!!! ไม่ควรให้ซูคราโลสสัมผัสกับไฟโดยตรงเนื่องจากอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้

                  3.สตีเวีย (Stevia) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อของ หญ้าหวาน ซึ่งเป็นน้ำตาลเทียมที่ได้รับความนิยมในหมู่ของผู้ที่รักสุขภาพและกลุ่มร้านทำอาหารเพื่อสุขภาพเป็นอย่างมาก เนื่องจากน้ำตาลเทียมชนิดนี้ไม่ใช่สารเคมีที่มนุษย์สังเคราะห์แต่เป็นสารสกัดจากสมุนไพรธรรมชาติและการไม่มีพลังงานหลังจากทานเนื่องจากไม่สามารถย่อยได้ โดยส่วนที่นำมาใช้เป็นสารสกัดจากหญ้าหวานชื่อว่า  สตีวิโอไซด์ (stevioside) สารชนิดนี้มีความหวานมากกว่าน้ำตาลทราย 200-300 เท่าของน้ำตาล และสามารถใช้ปรุงประกอบอาหารโดยผ่านความร้อนได้เช่นเดียวกับซูคราโลสนั่นเอง แต่ข้อเสียของหญ้าหวานที่ยังคงมีอยู่ คือ รสชาติที่มีความหวานติดลิ้นและรสชาติเฝื่อนแตกต่างจากการใช้น้ำตาลทรายอย่างสิ้นเชิง จึงทำให้กลุ่มผู้บริโภคบางกลุ่มไม่ชอบน้ำตาลเทียมชนิดนี้ นอกจากนั้นในส่วนของความปลอดภัยปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาใดกล่าวถึงผลเสียที่ทำให้เกิดมะเร็งหรือก้อนเนื้อ จึงยังคงวางใจได้ในปัจจุบัน แต่ก็ยังคงต้องติดตามกันต่อไปก่อนเนื่องจากน้ำตาลเทียมชนิดนี้เป็นชนิดใหม่จึงอาจจะยังมีการศึกษาไม่มากพอนั่นเอง

                แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการทานน้ำตาลเทียมยังคงต้องทานในปริมาณน้อยอยู่ เนื่องจากการทานปริมาณของน้ำตาลเทียมมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการปวดท้อง แน่นท้อง หรือไม่สบายท้อง เกิดขึ้นเนื่องจากน้ำตาลเทียมที่กล่าวมาและชนิดอื่นที่ไม่ให้พลังงานนั้นไม่ย่อยในทางเดินอาหารจึงทำให้เกิดอาการดังกล่าวเกิดขึ้นได้

หากใช้พาลาทีนแล้วจะมีข้อดีมากกว่าการใช้น้ำตาลเทียมหรือไม่ ?

            สำหรับคำถามในข้อนี้ก่อนอื่นต้องทำความรู้จักกับพาลาทีนกันก่อน พาลาทีน หรือ ไอโซมอลทูโลส เป็นสารที่ได้จากธรรมชาติเนื่องจากวัตถุดิบในการผลิตคือน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์นำมาเข้ากระบวนการทางธรรมชาติโดยใช้เอมไซม์จึงทำให้น้ำตาลชนิดยังคงสามารถย่อยได้ในทางเดินอาหารของมนุษย์จึงไม่เกิดการตกค้างอย่างแน่นอน แต่การย่อยนั้นจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ จึงให้พลังงานอย่างช้าๆแตกต่างจากน้ำตาลทรายที่ให้พลังงานอย่างรวดเร็วจึงถูกเรียกว่า น้ำตาลดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low GI Sugar) จากนั้นเราได้นำไปผสมกับน้ำตาลเทียมเพื่อทำให้มีความหวานสูงขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคใช้ในปริมาณลดลงแต่ได้ประโยชน์คงเดิม โดยเราได้ทดสอบร่วมกับน้ำตาลเทียมหลายชนิดทั้งในด้านของความปลอดภัยและรสชาติที่ดีจึงได้เป็นอัตราส่วนการผสมไอโซมอลทูโลส 99.75% และซูคราโลส 0.25% ซึ่งเมื่อนำมาเทียบกับน้ำตาลเทียมชนิดอื่นที่กล่าวไปข้างต้นนั้นเป็นข้อๆได้ดังนี้

  • ความหวานมากกว่าน้ำตาลทราย 2 เท่า
  • รสชาติหวานเหมือนน้ำตาล ไม่มีรสขมเฝื่อนแม้จะปรุงอาหารผ่านความร้อนก็ตาม
  • ไม่มีข้อจำกัดและปริมาณในการใช้ต่างจากน้ำตาลเทียมชนิดต่างๆ กล่าวคือทุกเพศทุกวัยสามารถทานได้โดยไม่เกิดผลข้างเคียง
  • ไม่มีสารตกค้าง ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว เนื่องจากสามารถย่อยและดูดซึมได้หมดในทางเดินอาหาร
  • พบการศึกษาเกี่ยวกับประโยชน์ต่อสุขภาพในด้านต่างๆ ได้แก่ การช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูง ,ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันมากกว่าน้ำตาลทราย 20% ,ช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้นั่นเอง

              จากบทความข้างต้นก็จะทำให้ทุกท่านได้รู้จักกับน้ำตาลเทียมที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน รวมไปถึงข้อดี และข้อควรระวังของน้ำตาลเทียมชนิดต่างๆแล้ว ทั้งนี้หากใช้น้ำตาลเทียมชนิดนี้ต่างควรศึกษาปริมาณที่ควรใช้อย่างละเอียดเนื่องจากการใช้น้ำตาลเทียมมากเกินไปจะทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายได้นั่นเอง